วิธีการทำงานของ ธนญชัย ศรศรีวิชัย
เพิ่งรู้จัก คุณธนญชัย ศรศรีวิชัย หรือ พี่ต่อ Phenomena เมื่อเดือนกรกฎาคม 2560 (แต่พี่ต่อไม่รู้จักเรานะ 555) เนื่องจากเจ้านายเปิดคลิปบทสัมภาษณ์ให้ฟังขณะนั่งรถไปประชุมกับลูกค้า สะดุดกับคำว่า “เจ้าของรางวัลผู้กำกับโฆษณาระดับโลก 5 ปีซ้อน” คำถามแรกที่เกิดขึ้นมาในหัวทันทีคือ “ทำยังไง?”
โดยส่วนตัวเป็นคนชอบอ่านหนังสือ How to ชอบอ่าน ชอบฟัง แนวคิด ของบุคคลที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้ว หลังประชุมเสร็จก็ค้นกูเกิ้ลเลย แม้ว่าจะยังสะกดชื่อพี่เขาไม่ถูกก็ตาม (เพิ่งรู้จักจริง ๆ)
โชคดีที่เว็บที่ติด SEO หน้าแรกของ Google เป็นบล็อกบทสัมภาษณ์หรือรวมแนวคิดของพี่ต่อ ทำให้เราได้เจอข้อความช่วงหนึ่งเขียนไว้ว่า
“…ขอให้ได้ทำในสิ่งที่ชอบ ที่รัก เป็น ฉันทะ แล้วจะเกิด วิริยะ เอง แล้วก็ จิตตะ คือมีจิตใจแน่วแน่ ไม่วอกแวก พอจิตใจไม่วอกแวกเลยเก่งเร็ว ไม่สนอย่างอื่น พัฒนางานที่ดี ไม่หลงตัวเอง เกิด วิมังสา ตรวจสอบงานตัวเอง พัฒนาไปเรื่อย ๆ …”
โอ้โห! โดนมาก เพราะเราเป็นคนที่เลือกทำในสิ่งที่รักอยู่แล้ว และเป็นคนที่เชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วย ทำให้ยิ่งสนใจมากขึ้นไปอีก หลังจากนั้นเมื่อมีเวลาก็จะเปิดคลิปพี่ต่อใน YouTube ฟังไปเรื่อย ๆ ฟังไปฟังมา เฮ้ย! เจ๋ง พี่เขาบอกแบบไม่กั๊กเลย ฟังมาตลอด 3 เดือน ก็เลยคิดว่า ทำสรุปไว้หน่อยดีกว่า
ตั้งเป้าหมายให้ใหญ่
พี่ต่อสอนให้ตั้งเป้าหมายให้ใหญ่เข้าไว้ (แต่อย่าเครียด) เพราะเป้าหมายที่มีขนาดต่างกัน ทัศนคติ กระบวนการคิด และกระบวนการปฏิบัติจะแตกต่างกัน
เป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดคือ เป้าหมายเพื่อคนอื่น เช่น ทำบางสิ่งเพื่อพัฒนาคนทั้งประเทศให้ดีขึ้น
เมื่อได้เป้าหมายแล้ว เราก็ต้องวางแผนเพื่อไปให้ถึง แล้วตรงนี้แหละจะทำให้เราได้เผชิญกับปัญหาแรกเลยคือ “ทำยังไง?” ยิ่งเป้าหมายมีขนาดใหญ่ปัญหาก็จะใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่สำหรับพี่ต่อ
“ปัญหา คือ หนทางสู่ความสำเร็จ”
เผชิญหน้ากับความลำบาก
พี่ต่อให้คุณค่ากับความลำบากมาก ใครอยากจะไปฝึกงานกับพี่ต่อ ต้องเป็นคนที่เคยเผชิญหน้ากับความลำบากมาก่อน เพราะคนที่ลำบากคือคนที่มีความอดทนสูง ไม่จำเป็นต้องมีฐานะทางบ้านลำบาก เพราะคนที่เคยเผชิญหน้ากับปัญหายาก ๆ ก็ถือว่าเคยลำบากมาเช่นกัน
ตัวแปรที่สำคัญสำหรับพี่ต่อคือ เวลา และปัญญา
ทุกคนเกิดมา ไม่ว่าจะรวย จน เก่ง หรือไม่เก่ง ทุกคนมีเวลาเท่ากัน แต่สิ่งที่ทำให้ผลลัพธ์ของแต่ละคนแตกต่างกันคือ การเลือกใช้เวลา
ใครอยากมีปัญญาต้องเผชิญหน้ากับปัญหา (หรือความยากลำบาก) ปัญญาไม่ได้แปรผันตรงกับเวลา ใครอยากมีปัญญามาก ก็ต้องเผชิญกับปัญหาให้มาก ทำงานยาก ๆ เผชิญหน้ากับปัญหาบ่อย ๆ เพราะการแก้ปัญหาจะทำให้เรามีปัญญามากขึ้น
“การทำเรื่องยาก ๆ ให้เป็นไปได้ จะทำให้ชีวิตเรามีเรื่องง่าย ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเรื่อง”
ถ้าชีวิตตัวเองไม่มีปัญหา ก็ไปแก้ปัญหาให้คนอื่น และเมื่อเราแก้ปัญหาให้คนอื่นได้ เมื่อนั้นเงินจะวิ่งเข้ามาหาเราเอง และยิ่งเราสามารถแก้ปัญหาให้คนได้มากเท่าไหร่ เราก็จะได้เงินมากตามไปด้วย
นี่คือเหตุผลที่พี่ต่อไม่ได้โฟกัสเรื่องเงิน เพราะถ้าเรามีปัญญา เดี๋ยวเงินมาเอง
เรียนรู้ด้วยตัวเอง
พี่ต่อเป็น “ผู้กำกับโฆษณาระดับโลก” ได้จากการศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวเอง เนื่องจากพี่ต่อไม่ได้เรียนจบด้านนี้มาโดยตรง ซึ่งเป็นเรื่องที่พี่ต่อมองว่าดี เพราะทำให้ไม่มีกรอบทางความคิดและการทำงาน
พี่ต่อเรียนรู้ด้วยตัวเองจากการค้นคว้า ศึกษา สังเกต ตั้งคำถาม วิเคราะห์ และลงมือทำเพื่อหาคำตอบจากของจริง
ทำงานด้วยอิทธิบาท 4
พี่ต่อเริ่มต้นการทำงานด้วย “ฉันทะ” คือทำในสิ่งที่รัก และมีความอยากที่จะทำสิ่งนั้นให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
เมื่อมีความรักในงานที่ทำ หรือที่หลายคนเรียกว่า Passion เราก็จะมี “วิริยะ” คือความอดทน สามารถทำสิ่งนั้นได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยหรือเบื่อหน่าย (ถ้าเบื่อแสดงว่าไม่ได้รัก) กลับกันคืออยากทำมากขึ้น อยากทำทั้งวัน และทุกวัน
“จิตตะ” คือการมีจิตใจที่มั่นคง แน่วแน่ และอย่าลืมว่าต้องตั้งเป้าหมายให้สูง ถ้าชีวิตไม่มีปัญหา ไม่มีความท้าทาย ก็ตั้งเป้าหมายเพื่อคนอื่น เมื่อเรามีเป้าหมายแล้ว ที่เหลือคือการตั้งใจทำเพื่อไปให้ถึง
“วิมังสา” คือการตรวจสอบตัวเอง เพื่อให้ตนเองยังเป็นคนเดิม ไม่หลงตัวเองเพราะเก่งขึ้น ดังขึ้น หรือรวยขึ้น ไม่กลัวความผิดพลาด เช่น ผลงานเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ได้รับความคาดหวัง ทำให้ไม่กล้าลองทำสิ่งใหม่ และไม่กลัวปัญหาใหม่ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เพราะอย่าลืมว่าทุกปัญหาคือปัญญา
วิธีการทำงาน
พี่ต่อเป็นผู้กำกับหนังโฆษณา ซึ่งอาชีพงานก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าเพื่อการขาย แต่ชิ้นงานที่พี่ต่อทำกลับเป็น การขาย..แบบไม่ขาย เพราะพี่ต่อเน้นการพูดความจริงที่ถูกต้อง ดังนั้นผลงานที่ออกมาจะเป็นการสร้างจุดเด่น จุดขาย หรือขยายจุดซื้อมากกว่า ซึ่งวิธีเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เกิดยอดขายในทันที แต่จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ ซึ่งมีคุณค่ามากกว่ายอดขาย แล้วสุดท้ายก็เกิดเป็นยอดขายอีกที
ผลงานของพี่ต่อ จะมีประโยชน์ต่อบุคคล 4 กลุ่ม คือ ตัวพี่ต่อเอง งานชิ้นนั้นต้องเป็นงานที่พี่ต่อทำแล้วจิตใจดีขึ้น กระบวนการคิดดีขึ้น หรือแก้ปัญหาให้คนได้มากขึ้น ลูกค้า ขายของได้ เอเจนซี่ ข้อนี้ไม่ชัดเจนนัก แต่ถ้าลูกค้าแฮปปี้ เอเจนซี่ก็น่าจะแฮปปี้นะเราว่า และสุดท้ายคือ ลูกค้าของลูกค้า (ผู้บริโภค) ซึ่งเป็นกลุ่มที่พี่ต่อให้ความสำคัญมาก งานแต่ละชิ้นผู้บริโภคต้องได้ประโยชน์ ต้องมีชีวิต หรือวิธีคิดที่ดีขึ้น
การผลิตชิ้นงาน
หลังจากที่ได้รับโจทย์ การทำงานของพี่ต่อจะเริ่มต้นที่ตีโจทย์เพื่อสร้างเนื้อหาที่เป็นหัวใจหลัก เพราะถ้าเนื้อหาไม่มีประโยชน์ นำเสนอให้ดีอย่างไรมันก็ไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าเนื้อหาดี และมีคนตั้งใจเสพอย่างไรก็มีประโยชน์
ลำดับถัดมาคือคิดวิธีการนำเสนอ เพราะเนื้อหาที่มีประโยชน์ มักเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่าสนใจ หรือทำความเข้าใจได้ยาก พี่ต่อจะอิงจากกลุ่มคนดูเป็นหลัก ทำให้ใครดู ก็ทำวิธีการนำเสนอให้ตอบโจทย์คนกลุ่มนั้น ซึ่งส่วนนี้ไม่เกี่ยวกับอุปกรณ์ใดใดทั้งสิ้น
ผลงานของพี่ต่อมีความเป็นเอกลักษณ์สูงมาก นอกจากการพากย์เสียงด้วยตัวเองแล้ว วิธีการนำเสนอของพี่ต่อจะมีความ “ใหม่” อยู่เสมอ เพราะพี่ต่อจะตั้งคำถามกับทุกอย่างที่ทำ “ทำไมต้องทำแบบนี้” “ทำไมต้องเริ่มต้นด้วยคนพูด” “ทำไมต้องพูดด้วยความสนุกสนาน” เป็นต้น
เมื่อเริ่มต้นด้วยคำว่า “ทำไม” พี่ต่อจะตามด้วยคำถามว่า “มีวิธีอื่นไหม” เพื่อให้ได้สิ่งใหม่ที่ไม่ซ้ำใครอยู่เสมอ
พี่ต่อเป็นคนที่คิดละเอียด และละเมียดกับทุกรายละเอียดที่ทำ ดูได้จาก เบื้องหลังการถ่ายทำโฆษณาของแป้งศรีจันทร์ เห็นแล้ว ยอมเลย
อ่าน Success Story ของพี่ต่อเพิ่มเติมได้ที่ Thanonchai Sornsriwichai หรือค้นในกูเกิ้ลว่า “ธนญชัย ศรศรีวิชัย” หรือ “ต่อ Phenomena” ก็ได้
สิ่งที่พี่ต่อกำลังศึกษาเพิ่มเติม อ้างอิงจากเว็บไซต์ Pheno.com
What I learned from being a film director.
I learned about human beings, human thoughts, and Human needs.
I learned about economics and marketing.
I learned about the relationship between people’s needs and the marketing meachanism.
I learned about the advertising role in society.
I learned that we somehow all have potential.
I learned that we can’t stop improving ourselves.
I learned that a great team is the key factor for great work.
I learned that great work can inspire people.
I learned that to become perfect, you don’t need to be rich but you need to be happy.
I learned that the essence of life is to get back to simplicity, and live with nature.
The most important part is that I know myself, and I know what I really want to do.
That’s what I’ve learned so far.
รวบรวมข้อมูลจาก
https://youtu.be/HHmQhKPNj5A
https://youtu.be/LExddTZ1RaY
https://youtu.be/34K5JAz9XfM
https://youtu.be/9YqhSd7xoFA